นิทาน(ถูกบังคับให้)เป็นสัตว์สังคม

ก่อนจะเข้าเรื่อง ผมขอแปะข่าวนี้ไว้ให้คนที่(จะ)เป็นพ่อเป็นแม่ในยุคนี้ได้อ่านกันก่อน น่ากลั๊วน่ากลัวครับ

ส่วนภาพด้านบนนั่น นิทานไม่ได้เล่นมือถือนะครับ แต่แค่แย่งพ่อไปถือเลียนแบบเท่านั้นเอง ยังไงเราพ่อแม่คงไม่เลี้ยงลูกด้วยอุปกรณ์พวกนี้อยู่แล้ว (เอาจริงๆ ภาพนี้ก็สอนผมเหมือนกันนะครับว่าเวลาอยู่กับลูกก็จงเล่นกะลูก ไม่ใช่นั่งโซเชียลอยู่ได้ โวะ)

เนื่องจากพ่อและแม่อย่างเราเป็นสัตว์สังคม แถมเป็นสังคมออนไลน์ซะด้วยนะ ก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกนะว่ายุคนี้สำหรับเราๆ การออนไลน์มันคือเรื่องปกติสามัญสุดๆ พอๆ กับคนยุคก่อนหน้า ที่นั่งดูทีวี ฟังวิทยุ หรือคุยโทรศัพท์ พอเราทั้งคู่มีลูก ก็เลยร่วมมือกันเปิดทวิตเตอร์เป็นของนิทาน ในชื่อ @noonitan ซึ่งคนที่แปลงร่างเป็นอีหนูหัวเหม่งก็คือพ่อกับแม่เองนี่แหละ ส่วนเจ้าตัวก็เคยทวีตเองแค่ไม่กี่ครั้ง (คือแย่งมือถือพ่อไปเล่น เลยให้จิ้มคีย์บอร์ดเล่นไรงี้) ดังเช่นสองทวีตนี้

นึกๆ ดูก็ตลกดีนะครับ เหมือนว่าผมเคยแสดงความเบื่อหน่ายกับพ่อแม่ที่พยายามเปิดเบอร์ไอ้แบบนี้แล้วปลอมตัวเองเป็นลูก (หรือเป็นสัตว์เลี้ยง) แล้วสวมชุดแสดงแทน แต่พอมาทำเข้ากับตัวเองก็เลยได้รู้ว่าพอได้ย้อนกลับมาอ่านดู เออ มันก็มีคุณค่าดีเหมือนกันวุ้ย

ทุกวันนี้พ่อกับแม่ก็สลับกันทวีตแล้วแต่โอกาส บางทีถ้าสังเกตดูนิทานไปโต้ตอบกับใครก็เดาๆ กันเอาเองนะครับว่านี่พ่อหรือแม่เล่น 5555 เพราะบางทีนิทานโดนป้าหนุงทำร้ายด้วยวาจาแล้วแล้วชิ่งถึงพ่อ ทั้งๆ ที่นั่นแม่ทวีตเว้ยยย ก็มีนะแบบนี้

นอกจากทวิตเตอร์แล้วก็ยังมียูทูบครับ อันนี้คนคุมจะเป็นผมเอง เพราะเวลาไปเที่ยวไหนหรือนึกคึกนึกสนุกอะไร ก็จะถ่ายคลิปลูกเอาไว้ แล้วจับมารวมใส่ Playlist ชื่อ “นิทาน” ซะเลย กะว่าเดี๋ยวโตขึ้นลูกกลับมาย้อนดูคงได้เห็นอะไรพิลึกๆ น่าจะมันส์ดี ลองเอาเมาส์แหย่ๆ ตรงคำว่า Playlist ดูครับ มันจะมีรายชื่อวิดีโอที่ถ่ายไว้เรียงกันเป็นตับๆ

เนี่ยอย่างคลิปหลังๆ เลยทำให้รู้ว่านิทานโคตรดำเลย ตั้งแต่ไปเที่ยวเกาะช้างกลับมาเนี่ย 55555 เอาเป็นว่าไว้โตขึ้นเป็นสาวแล้วค่อยหามมะขามเปียกมาขัดตัวเอาเองนะลูก (ตัวจริงไม่ได้ดำแบบนี้นะครับ เป็นที่แสงเสิงด้วยแหละ)

ทั้งหมดนี้ทำมาเพื่อสนองตัณหาของพ่อกับแม่เอง ลูกโดนบังคับให้ออกมาโชว์ตัวต่อโลกออนไลน์โดยที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ทั้งสิ้น (ดูเป็นพ่อแม่ที่ใจร้ายยังไงไม่รู้) ก็สารภาพนะครับว่าเราก็ยังอยู่ในช่วงทดลองว่า การไปเปิดไอ้นั่นไอ้นี่ออนไลน์ให้ลูกไว้ล่วงหน้าเนี่ยจะส่งผลกระทบอะไรแค่ไหนบ้าง แต่เชื่อว่าเราคงเป็นพ่อแม่ที่คุยกับลูกอย่างใกล้ชิดพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกัน ให้นิทานสามารถโตขึ้นเป็นมนุษย์ปกติและอยู่รอดปลอดภัยได้จ้ะ

ส่วนเฟซบุ๊กน่ะ อีพ่อไม่ได้เล่น ก็เลยไม่ได้เปิดให้ลูกเอาไว้ ลองนึกภาพดูสิ ว่าถ้าเปิดให้ลูกแล้วคงจะประหลาดยังไงก็ไม่รู้ ที่พอนิทานโตขึ้นมาแล้วกดดู friend แต่ละคน ปรากฏว่ามีแต่รุ่นลุงๆ ป้าๆ ทั้งนั้น เด็กมันคงเหวอนะครับ เป็นเพราะระบบการจัดความสัมพันธ์ของเฟซบุ๊กมันผูกมัดตัวตนไปหน่อย ยังไงเชื่อว่าพอลูกคงโตขึ้นมาแล้วก็คงเปิดแอกเคาต์เองได้เหมือนกับชาวบ้านชาวช่อง หรือไม่งั้นกว่าจะถึงยุคนั้น เฟซบุ๊กก็คงเสื่อมความนิยมไปแล้วมั้ง (ทุกวันนี้ก็แช่งอยู่)

ป.ล.
มานั่งอ่านบล็อกย้อนๆ ดู ปรากฏว่าช่วงหลังๆ นี้ เมียผมเขียนแต่เรื่องลูกแฮะ เออดีเหมือนกัน ศาสนาของพ่อแม่จะเป็นอะไรได้นอกจากลูกล่ะ 5555