ยินดีต้อนรับสู่โลก ♥

บล็อกนี้ผม (แอน) เป็นคนเขียนเอง เนื่องจากโบว์ยังนอนอยู่บนเตียงคนไข้อยู่เลย
เลยแอบมาเขียนตอนดึกๆ แบบไม่ได้บอกกันเลยนะเนี่ย กะว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเปิดให้ดู

เรื่องของเรื่องก็คือ วันที่ 14 มีนาคม 2555 ที่เพิ่งผ่านมานี้ เป็นวันที่ทุกอย่างของเราจะไม่เหมือนเดิมไปตลอดกาล
ไม่ใช่แค่เป็นวัน Pi Day (เพราะเวลาเขียนวันที่ ฝรั่งบางประเทศเขาเรียงตัวเลขเดือนก่อนวัน ก็เป็น 3.14) และวันเกิดไอน์สไตน์เท่านั้น
แต่มันยังเป็นวันเกิดลูกของเราทั้งสองคนอีกด้วย

ยินดีต้อนรับนิทานสู่โลกครับ!

เอ้อ เอ่อ..

แบบ

:00: :00: :00: :00: :00: :00: :00:

พอมาเปิดบล็อกเพื่อจะเขียนเล่าอะไรต่อมิิอะไรแล้วก็นึกไม่ออกจริงๆ ครับ
คือเรื่องมันเกิดขึ้นเยอะไปหมด จนไม่รู้จะเรียบเรียงยังไงดี
ทั้งที่จริงการที่มีคนเกิดมาเพิ่มบนโลกสักคนมันก็เป็นแค่สิ่งธรรมดาๆ ที่มีมานับหมื่นๆ แสนๆ ปีแล้ว
แต่พอคนคนนั้นเป็นลูกของเรา มันก็ไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยสักนิด

โอเค ของจริงมันก็ไม่ได้ซึ้งน้ำตาไหลแบบในโฆษณาประกันชีวิตต่างๆ หรือสารพัดสื่อที่จะบิ๊วให้เราอินอะไรหรอก
แต่มันก็มีเรื่องมากมายที่อยากจะค่อยๆ ลำดับ แต่ด้วยความเยอะของตัวเองเลยจัดความสำคัญไม่ถูกจริงๆ
เอาเป็นว่า ดูคลิปไปก่อนละกันครับ นี่แหละ “เด็กหญิงนิทาน” ลูกของเรา ทำมากับมือ (กับอย่างอื่นด้วย)

ขอเล่าเหตุการณ์แบบคร่าวๆ เท่าที่จำได้นะครับ (ขอไม่พิมพ์ไปตัดบรรทัดไปอย่างที่เคยตัวละกัน)

วันนี้เราตื่นนอนกันตอนแปดโมงเช้า เพราะหมอนัดให้มาถึงโรงพยาบาลวิภาวดีตอนเก้าโมงครึ่งถึงสิบโมง ที่จริงแล้วกำหนดการเดิมที่จะผ่ากันเนี่ยคือตอนแปดโมงถึงเก้าโมง แต่เมื่อวานหมอโทรไปขอเลื่อน เพราะเช็กคิวแล้วปรากฏว่าชนกับอีกเจ้านึงที่นัดเวลาไว้ก่อนหน้า ก็เลยตอบตกลง เลื่อนก็เลื่อน ดีแล้วจะได้ตื่นสายสักหน่อย (ชีวิตที่ไม่ได้ผูกติดกับดวงชะตาหรือฤกษ์ยามนี่ก็สะดวกแบบนี้แหละครับ)

ตื่นมาแล้วก็เก็บเสื้อผ้าเด็กที่ตากไว้ตั้งแต่เมื่อวานบ่าย ที่คุณแม่ยายเดินทางจากบ้านมาช่วยซักกันยกใหญ่ เลยเปลี่ยนระเบียงบ้านชั้นสองเป็นที่ตากผ้าเด็กซะนี่ แล้วก็เนรมิตห้องทำงานชั้นสอง ให้กลายเป็นห้องนอนและห้องดูแลเด็กอ่อนชั่วคราว (เผลอๆ อาจจะไม่ชั่วคราว) เสร็จตั้งแต่เมื่อคืนก่อน ดังนั้นวันนี้พอตื่นมาก็ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม มีถ่ายรูปพุงว่าที่คุณแม่ไว้หน่อย (ปกติผมเป็นพวกบ้ากล้องและขี้ถ่ายมาแสนนาน เพิ่งมีระยะหลังๆ ที่รู้สึกว่าการปล่อยให้ลืมๆ ไปบ้าง ไม่ต้องบันทึก มันจะทำให้ความทรงจำมีคุณค่าดีเหมือนกัน ก็เลยไมไ่ด้ถ่ายบันทึกเหมือนเมื่อก่อน)

เสร็จแล้วก็ออกเดินทางกัน โบว์ถูกสั่งงดอาหารและน้ำก่อนผ่าตัด ก็ตั้งแต่ตีห้าเป็นต้นไป แต่เอาเข้าจริงๆ ก็คือไม่ได้กินอะไรเพิ่มมาตั้งแต่ก่อนนอน (ขณะที่พิมพ์อยู่นี่โบว์ก็ยังไม่ได้จิบน้ำเลย เพราะเป็นคำสั่งห้ามจากโรงพยาบาลเพราะกลัวว่าเดี๋ยวเกิดเอฟเฟกต์จากการบล็อกหลังขึ้นมาแล้วจะแย่เอา กว่าจะกินได้ก็คือตื่นมาพรุ่งนี้เช้า)


เรามาถึงโรงพยาบาลวิภาวดีกันตามกำหนดคือเก้าโมงกว่าๆ มาถึงก็ส่งโบว์เข้าไปในห้องรอเตรียมคลอดซะเลย ส่วนผมกับคุณยายนลินฟ้าก็นั่งในห้องญาติข้างๆ ..บรรยากาศห้องเหมือนหนังผีมากครับ แต่เป็นหนังผีที่มีกาแฟให้ชงกินเองได้นะ


สำหรับว่าที่คุณพ่อ ก็เป็นคนเตรียมการเรื่องเอกสารธุระปะปังในการผ่าตัดคลอดครั้งนี้ และได้รับเอกสารจากพยาบาลเรื่องการตั้งชื่อลูก (เพิ่งรู้ว่าต้องใช้สำเนาทะเบียนสมรสอีกแน่ะ เดี๋ยวค่อยกลับไปเอาที่บ้านมาให้)


เสร็จแล้วหลังจากเตรียมตัวให้ว่าที่คุณแม่ ก็รอให้คิวก่อนหน้าผ่าเสร็จ ก็ได้เข้าไปคุยกะโบว์หน่อย ก่อนจะขึ้นเขียงจริงๆ.. จังหวะนั้นเวลาก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมงกว่าๆ แล้วล่ะ


นั่งๆ กลิ้งๆ ดูทีวีบ้าง โทรศัพท์หาพ่อ(ปู่)และแม่(ย่า)บ้างสักพัก พยาบาลก็เดินมาบอกว่า ออกมาแว้ว (บอกงี้จริงๆ) คุณพ่อ(ไม่ใช่ว่าที่แล้วนะ)กับคุณยายก็ถลาไปหาตู้ใสๆ ติดล้อ ที่หมอเข็นออกมา แล้วก็ได้พบสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกอยู่ในนั้น (เขียนงี้เวอร์ไหมล่ะ กลัวจะหาว่าไม่ซาบซึ้ง ที่จริงมันก็กรี๊ดอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้โอ้ว สุดยอดบร๊ะลานุภาพแบบในโฆษณาซะหน่อย)


นี่คือภาพแรกของลูกสาวเราเอง เย่ ถึงจะโดนหมกแป้งหมกยาเต็มหน้าเต็มตาและเต็มกบาล แต่ก็ยังน่าตกกะใจที่ทำไมผิวถึงขาวเกินคาดขนาดนี้ (ไม่ได้คิดจริงๆ คือคิดว่าหน้าตาผิวพรรณคงเหมือนโบว์) เอ๊ะหรือว่าติดพ่อมา! ..จะบอกว่าที่จริงผมตัวขาวมากเลยนะครับ ที่ดำๆ นี่เพราะอำพรางตัวเองไว้ กลัวว่าถ้าใครรู้ว่าร่างจริงขาวบลิ๊งดั่งโดมขึ้นมา สาวๆ เห็นเข้าเดี๋ยวจะมีปัญหาทางบ้านได้



ก็ถามเรื่องระยะเวลาและข้อปฏิบัติต่างๆ เลยรู้ว่าภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ทารกจะได้รับการดูแลจากหมอและพยาบาลก่อน ส่วนแม่ที่เพิ่งผ่าคลอด และบล็อกหลังด้วย ก็จะดูอาการแทรกซ้อน (เผื่อมี – และในใจก็คิดว่าสุขภาพอย่างเมียตูนี่เดี๋ยวมีแน่ๆ) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ให้ได้ปรับสภาพร่างกายทั้งของแม่และของลูก แล้วทีนี้แหละจะได้เอามาเจอกัน อันนี้ก็เป็นไปตามตำรานิ


ใครไม่เก็ตอาจจะตกใจว่าเฮ้ย นี่เขาพรากแม่พรากลูกหรือเปล่า (แม่งมีดราม่าคุณแม่ผู้รอบรู้มาโวยวายในเฟซบุ๊กด้วย ตลกดี) แต่จะบอกว่าดีแล้วครับที่เขาแยกมาอยู่ในตู้ควบคุมอุณหภูมิก่อน เพื่อเช็กสารพัดสุขภาพของทารก โดยเฉพาะแบบที่คลอดโดยการผ่าคลอด ร่างกายจะไม่ได้เหมือนกะแม่ที่คลอดเองโดยธรรมชาติ เพราะนั่นคือสุกงอมเต็มที่ละ (เช่นเรื่องการผลิตน้ำนมอะไรงี้) ที่สำคัญคือตัวทารกเองก็ยังไม่ได้รีบจะกินอะไรข้างนอกนัก เพราะยังอิ่มจากอาหารในรกอยู่เลย ดังนั้นเกิดมาปั๊บก็โดนใส่ตู้ปรับอุณหภูมิกันเป็นเวลา 4 ชั่วโมงกัน โดนทุกคนครับไม่ต้องกลัว แต่ญาติๆ ที่ไม่เก็ตคงจะกลัวกันเยอะ และดราม่ากันเยอะจนเขาต้องติดป้าย FAQ เอาไว้แบบที่เห็นนี่แหละ



เอ้า ใครจะเอาเลขอะไรไปแทงหวยก็ว่ามา คือเลขแม่งไม่ซ้ำกันจนจะครบร้อยตัวแล้วเนี่ย สมเป็นวัน Pi Day จริงๆ .. แต่สำหรับหมอแอน แนะนำเลขมาแรงก็คือน้ำหนักของหนูน้อยสามคนที่คลอดติดๆ กันรายชั่วโมง คือลงท้ายด้วย 10 ทั้งสามคนเลย เจ๋งมะๆ


สักพักก็แหกปากร้องครับ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเต็มๆ ทั้งตัว ยืนเก็บรายละเอียดจนมั่นใจ เกิดสลับกันก็คงจำได้แล้วแหละ ว่าคนนี้ลูกเรา


ที่ใส่ไว้ตรงเท้ามีตัววัดชีพจรกับความดันมั้ง เดาล้วนๆ เลยนะ แต่ไอ้เม็ดแดงปี๊บๆ (เห็นในคลิปตอนต้นๆ) นี่น่าจะชีพจรชัวร์


ข้างในห้องนี้เป็นห้องเก็บเสียงครับ ข้างในมีเด็กที่ทยอยคลอดออกมาในวันเดียวกันอีกหลายคน (คงเป็นวันสุดฮิตโดยที่เราก็ไม่เคยรู้) แหกปากร้องกระจองอแงแข่งกัน — และไม่ได้เวอร์นะครับ ผมว่าอีหนูของผมเนี่ยแหกดังกว่าชาวบ้านแน่นอน เพราะร้องทีปากสั่นไปหมด (มารู้หลังจากถ่ายภาพนี้ว่าขี้แตก เย้.. ลูกขี้)


ถ้าญาติๆ ยืนเกาะกระจกดูกันบนเบื่อแล้ว ก็มีใบความรู้ให้อ่านครับ แต่พ่อแม่ที่อ่านตำรามาแล้วเรียบร้อยอย่างเรา อันนี้ก็เอาไว้เป็ข้อมูลไว้บอกคุณยายอีกที ว่าเราตั้งใจจะเลี้ยงด้วยนมแม่จริงๆ นะ อย่าเอากล้วยบดมาให้กินนะ (ตอนท้อง-ตอนเตรียมตัว ก็เคยเถียงกันมาหลายเรื่องละ โชคดีที่ฝ่ายแพทย์แผนใหม่เป็นฝ่ายชนะแผนบอกต่อและแผนไสยศาสตร์)


เงียบละจ้ะ ดูริมฝีปากสิ สีจัมปูว์เลย :22:


มีคุณหมอและพยาบาลเวียนมาตรวจวัดอุณหภูมิ และเช็กระยะต่อเนื่องตามมาตรฐานบีควิก


ร้องไปสักพักหัวก็ม่วง อันนี้เจ๋งดี สีผิวเด็กเปลี่ยนได้ตามอารมณ์


พอเงียบอีกก็กลับมาขาวอมชมพูอีก เดี๋ยวๆ ก็แดง จะเอายังไงของเอ็ง


อันนี้ตลกดี เป็นธุรกิจทำเงินของคนที่คิดได้และก็วินๆ กับญาติโกโหติกาที่รักไอเดียสุดครีเอตนี้ (เหรอวะ) แหม พิมพ์ตีนเป็นสีทองๆ พร้อมภาพถ่ายและประวัติตอนคลอด จัดใส่กรอบด้วยเลย์เอาต์สวยงาม (เหรอวะ) เรียกว่าโตขึ้นไปอีกยี่สิบปีมันจะกรี๊ดมาก .. แต่เราไม่เอาละกัน..


พลัมมิกามาแถวนี้พอดี เลยเป็นแขกคนแรกของโลก ถามพลัมไปว่าจะให้เรียกสรรพนามว่าอะไร พลัมบอกเรียกน้าละกัน “จะได้ไม่ต้องระบุเพศ”


พ่อตาและแม่ยายยืนอยู่หน้าโรงงานผลิตเด็กแบบชนเผ่าอะไรที่เป้นตัวเขียวๆ ในเรืื่อง JOHN CARTER น่ะ


อีกพักนึงพยาบาลก็โทรมาบอกว่าคุณแม่ออกจากห้องผ่าตัดแล้วจ้ะ ไปเจอกันได้ที่ห้องพักตึกใหม่ชั่วคราวก่อนนะ (เพราะวอร์ดสูติฯ เต็ม เย็นๆ ถึงค่อยย้าย) แล้วก็เจอโบว์เป็นครั้งแรก ท้องยุบลงไปเยอะกว่าที่คิดแฮะ! เลยเอาภาพถ่ายยื่นๆ ให้ดู ดูในกล้องไม่สะใจเลยก็อปลงคอมแล้วถือให้ดู โบว์บอกว่าตอนบล็อกหลังเนี่ยไม่เจ็บเลย (ก่อนหน้านี้โดนขู่ไว้เยอะ)


บันทึกไว้หน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลกในวันนี้บ้าง


นังส้มปรากฏตัว มาเยี่ยมแบบโผล่พรวดเข้ามาเลย อินดี้สุดๆ (ระบบ Search ข้อมูลผู้ป่วยของโรงพยาบาลนี่พาเข้าถึงตัวผู้ป่วยในได้ง่ายมาก ตอนนี้เริ่มนึกพล็อตหนังฆาตกรรมไล่ล่าได้ละ)


แว้บออกไปดูอีกทีก็พบว่าเขาใส่หมวกให้ด้วยแหละ


ตอนนี้ย้ายมาวอร์ดห้าแล้ว (เป็นห้องพิเศษที่อยู่ในแพ็กเกจคลอดนั่นแหละ) เลยเดินไปดูลูกได้


ส่วนนี่นังเพื่อนทั้งสองคนที่มากัน (โบว์บอกทุกคนไว้ว่าไม่ต้องมาเน้อ ถ้าจะมาก็มาที่บ้าน จะได้สะดวกกันทั้งคนเยี่ยมคนถูกเยี่ยม)



จนถึงตอนเย็น แม่ก็ยังไม่ได้เห็นหน้าลูกซะที ผมก็เลยหันคอมตั้งไว้ในห้อง แล้วก็เดินออกนอกห้องมา เปิด Skype Video Call แล้วเอามือถือไปจ่อๆ ให้เห็นใกล้ๆ ก็ได้เห็นประโยชน์ของเทคโนโลยีที่มันทำได้แบบเดียวกับในโฆษณา FaceTime ของแอปเปิลซะที คือแม่เห็นหน้าลูก ลูกเห็นหน้าแม่ (ที่เป็นจอเหลี่ยมๆ น่ะนะ) แล้วก็อ้าปากลืมตาเคี้ยวหยับๆๆ โชว์ซะเลย


อาชีพของเด็กทารกคือหลับแล้วก็ขี้แล้วก็กิน คราวนี้เป็นโหมดหลับ



หลังจากพ่อ(ตูเอง พยายามเรียกว่าพ่อบ่อยๆ จะได้ชิน) ลงไปกินข้าวเช้ามาเมื่อช่วงค่ำ พอขึ้นมาก็เจอเพื่อนอีกหลายคนที่ทยอยเลิกงานกันมาแจทโดยไม่สนใจว่าเฮ้ย กูบอกว่าไม่ต้องมาไงแสรด (แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร้)


อรั๊งงงงง ทำตาสองชั้นโชว์


หวัดดีป้าสิลูก


ตั๊กถั่วเกาะกระจกดูแบบเดียวกะที่ดูหมีดูงูเหลือมในสวนสัตว์เลย

โอย ชักจะยาวเกินไปแล้ว ขอปิดท้ายด้วยฉากอวดของขวัญข่มกันในหมู่มิตร


สุดยอดเปลอาบน้ำของตั๊ก (เออลืมถามว่าจะให้เรียกว่าอะไรดี)


ที่เกิดจากการร่วมทุนมหาศาลจากหลายฝ่าย (มีคุณต่ายด้วย!)


และของลุงปิง (เอ๊ะหรือเรียกป๋าปิงดี ดูขลังไม่หยอก) เป็นไอ้ผ้านุ่มๆ ตราหมี กรี๊ดมาก อยากใส่เอง ไม่ให้ลูกละกันวะ

ตอนนี้ดึกมากแล้ว ผมนั่งพิมพ์กับพื้นอยู่เงียบๆ ด้วยความเนิร์ดและง่วง ส่วนเมียกับแม่ยายก็นอนบนเตียงและโซฟา
โบว์เริ่มบ่นว่าเจ็บแผลเพราะยาชาเริ่มหมดฤทธิ์ และคันตรงจุดที่มีการผ่าละ (ขอยาไปเรียบร้อย)
และปากแห้งมาก อยากจิบน้ำ แต่ก็ทำไม่ได้ (ตามเหตุผลข้างบนนู้นนนนน)

และพรุ่งนี้พอครบ 24 ชั่วโมงตามกำหนดแล้ว ก็จะได้เห็นหน้า ได้จับได้อุ้มลูกจริงๆ ละ
แล้วค่อยมาเล่าให้อ่านกันอีกทีเด้อ!

จบ
ไม่.. ไม่จบสิ
นี่มันเพิ่งนิทานบทที่หนึ่ง วันที่หนึ่งเอง

ป.ล.
คือจะบอกว่ายินดีที่ได้รู้จักนะครับลูก ไม่รู้โตมาจะได้อ่านบล็อกนี้ไหม
เพราะในยุคนั้น “บล็อก” คงเป็นเทคโนโลยีแบบโบราณที่สุดแคลสสิกเกินไปแล้ว แต่สมัยพ่อแม่เนี่ยยังชอบเขียนกันอยู่
ถ้าลูกแว้บมาอ่าน ก็ให้รู้นะว่านิทานของพ่อแม่เนี่ย ยังเหลืออีกเป็นล้านๆ บรรทัดจ้ะ

ป.อ.
ขอบคุณเพลง Look Like Love ของน้องดรีมเจ้าเก่า ที่ขอยืมมาใช้ในคลิปครับ
เพลงนี้เป็นเพลงที่โบว์ Rip มาจากซีดีแล้วก็เปิดตอนตื่นนอนทุกเช้าที่ผ่านมา เพราะมันฟังแล้วอารมณ์ดีจังเลย
ส่วนคลิปนั้นถ่ายมาเท่าไหร่ก็ยัดลงไปเท่านั้น ไม่ได้ตัดต่อเรียบเรียงอะไรเลย ขออภัยครับ (เอาสดๆ แหละดีแล้วเนอะ)
อ้อๆๆ ใช้เน็ต WiFi ของโรงพยาบาล อัปโหลดช้าหน่อย แต่ก็อัปโหลดเสร็จเอาตอนดึกๆ จนได้ เย่ (โบว์ยังไม่เคยดู)

ป.ฮ.
“นิทานล้านบรรทัด” เป็นชื่อบทความนิทานซาดิสม์และไม่เหมาะสำหรับเด็กเลย ของคุณประภาส ชลศรานนท์
จากนิตยสารอะเดย์ ที่สมัยนี้มีขายเป็นฉบับที่ร้อยกว่าๆ ละ ไม่รู้สมัยนั้นจะยังมีไหม (นั่น ไปแช่งเขาอีกกู)
พ่อชอบชื่อนี้แฮะ เจ๋งดี เกิดวันนึงลูกมีผัวแต่งงานไป ก็ยุให้เปลี่ยนนามสกุลเป็น “ล้านบรรทัด” นะ